15 หมู่บ้านในฝันที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต

Posted on

บนโลกนี้มีหมู่บ้านอยู่มากมาย แต่สำหรับ 15 หมู่บ้านหรือเมืองที่เรายกมานี้ ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ควรไปเยือนสักครั้ง เพราะบรรยากาศแสนอบอุ่น ที่ทำให้เหมือนไปอยู่ในนิทานหรือหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งไปเลยทีเดียว

 

[01]

Hallstatt

Austria

หมู่บ้านริมทะเลสาบกับฉากหลังเป็นภูเขาแห่งนี้ ถือเป็นที่สุดของความงามและความเงียบสงบ ด้วยบ้านแบบชนบทในสถาปัตยกรรมยุคศตวรรษที่ 16 และโบสถ์คาทอลิคแบบโกธิกที่ตั้งตระหง่านริมน้ำ นอกจากได้ชมความงดงามแล้วยังเป็นพื้นที่สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ดีเยี่ยมอีกด้วย

[02]

Rothenburg Ob Der Tauber

German

บรรยากาศของเมืองโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ สวยงามด้วยสถาปัตยกรรมจากยุคกลางแคว้นบาวาเรีย เป็นบ้านเรือนแบบเยอรมันขนานแท้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์และยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดด้วย

[03]

Gokayama

Japan

หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาในญี่ปุ่นนี้ถูกยกให้เป็นมรดกโลก เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ แถมยังสวยตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะในฤดูไหนๆ บ้านเรือนมีหลังคาลาดเอียง ‘กัชโชสึคุริ’ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หมู่บ้านนี้เท่านั้น

[04]

Eguisheim

France

เมืองนี้มีของดีที่ประตูหน้าต่างของบ้านเรือนแต่ละหลัง ที่ถูกออกแบบได้สวยสบายตา โดยผู้คนจะแห่กันไปที่นี่มากในช่วงฤดูร้อน เพราะอากาศดี และดอกไม้ตามถนนหนทางก็กำลังเบ่งบานสวยงาม ส่วนอีกช่วงที่พลาดไม่ได้คือคริสต์มาส ที่ Eguisheim จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในนิทานก่อนนอน

[05]

Bibury

England

ที่นี่ถูกยกให้เป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอังกฤษ บ้านแต่ละหลังจะเรียงรายขึ้นไปตามเนินเขาเล็กๆ เป็นกระท่อมแบบอังกฤษแท้ในยุคศตวรรษที่ 17-18 ที่ยังคงสภาพดีจนถึงปัจจุบัน แถมยังมีแม่น้ำสายเล็กๆ ชื่อ Coln ไหลผ่านหมู่บ้าน ให้บรรยากาศสดใสเป็นที่สุด

[06]

Bruges

Belgium

เป็นอีกเมืองที่ถูกยกให้เป็นมรดกโลก และวิธีเที่ยวชมยอดฮิตก็คือเดินเท้าและล่องเรือ เพราะมีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมืองและแยกย่อยไปตามจุดต่างๆ จนได้รับฉายาว่าเป็นเวนิซแห่งยุโรปเหนือ ทั้งยังมีความงามทางศิลปะและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ซึ่งฤดูหนาวเป็นช่วงที่เมืองนี้จะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนเหตุผลก็อยู่ในภาพประกอบนี่เอง

[07]

Trondheim

Norway

บ้านสีสวยริมน้ำนี้มองเผินๆ เหมือนวิวเมืองโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก แต่ที่นี่คือเมือง Trondheim ซึ่งเป็นแหล่งไอทีและเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของประเทศนอร์เวย์! และถึงดูแล้วจะไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีอันดับโลก ผู้คนไม่ต้องขวนขวายจนวุ่นวาย จึงทำให้กระทั่งเมืองไอทียังดูคลาสสิกและเงียบสงบดีเหลือเกิน

[08]

Alberobello

Italy

เป็นอีกหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยบ้านทรง Trulli ที่มีอายุกว่า 600 ปี ความโดดเด่นคือมีหลังคาแหลมคล้ายดินสอ และใช้เทคนิกการก่อด้วยหินให้ยึดอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ แต่กลับมีความแข็งแรงและป้องกันลมหนาวกับเก็บรักษาความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี

[09]

Oia

Greece

เมืองเอียอยู่ด้านเหนือสุดของเกาะซานโตรินี และถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเกาะนี้ ด้วยทิวบ้านเรือนสีขาวสวยบนเนินริมทะเล โดยที่นี่ ว่ากันว่าเป็นอีกในแหล่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดในโลก ในบรรยากาศของชาวเกาะแบบยุโรปอย่างเต็มเปี่ยม

[10]

Manarola

Italy

เป็นหมู่บ้านชาวประมงบนเนินเขาริมทะเล ที่ดึงดูดผู้คนด้วยการทาสีบ้านหลากสีสัน จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สีสันสดใสที่สุดในโลก ภายใต้วิถีชีวิตเรียบง่าย ดั้งเดิม เหมาะกับการไปใช้วันหยุดอย่างสงบๆ รับลมทะเลและจิบไวน์ไปด้วย

[11]

Reine

Norway

แค่บ้านไม้หลังเล็กๆ สีเลือดหมูก็น่ารักจะแย่แล้ว หมู่บ้านนี้ยังตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ฟยอร์ด และทะเลสาบ  เป็นหมู่บ้านแสนสงบที่เล็กมาๆ โดยมีประชากรเพียง 300 กว่าคนเท่านั้น แต่ไม่ต้องกลัวเหงาเพราะมีนักท่องเที่ยวนับพันมาเยือนแทบจะตลอดเวลา พร้อมกิจกรรมเจ๋งๆ อย่างเช่นพายเรือแคนู ล่องเรือชมวิวฟยอร์ด และซึมซับวิถีชีวิตชาวประมงยุคโบราณอย่างแสนเพลิดเพลิน

[12]

Simiane

France

หมู่บ้านในชนบทอันห่างไกลในแคว้น Provence และยังไม่ค่อยมีคนไปมากนัก แต่ทีเด็ดของที่นี่คือหมู่บ้านเก่าแก่บนเนินเล็กๆ และล้อมรอบด้วยทุ่งกว้างที่มักจะปลูกดอกไม้สวยๆ ตลอดปี เช่นวิวทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่เข้ากับสีขาว-ครีมของหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี

[13]

Alto Adige

Italy

หมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่กลางหุบเขา Dolomite ซึ่งเป็นที่หมายของนักผจญภัยที่ชอบปีนเขา และสถาปัตยกรรมรวมถึงวัฒนธรรมที่นี่ เป็นการหลอมรวมความงามของอิตาลีและออสเตรียเข้าด้วยกัน เป็นที่ที่เหมาะกับคนที่ชอบอยู่อย่างอิสระเสรีและใกล้ชิดธรรมชาติเป็นที่สุด

[14]

Hobbiton

New Zealand

หลายคนคงเคยรู้แล้วว่าหมู่บ้านฮอบบิทในหนัง The Lord of The Ring เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ซึ่งหลายๆ ประเทศได้ทำจำลองขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่แบบฉบับดั้งเดิมต้องอยู่ที่นิวซีแลนด์ ซึ่งกองหนังไปถ่ายทำที่นั่นกันจริงๆ ด้วยบรรยากาศเทพนิยายและความอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่าต่อการไปเยือนมากๆ

[15]

Juzcar

Spain

มีหมู่บ้านฮอบบิทแล้ว ก็ต้องมีหมู่บ้าน Smirfs ซึ่งก็คือหมู่บ้าน Juzcar นี่เอง โดยเริ่มแรกหมู่บ้านนี้เป็นเมืองโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แต่ในปี 2011 ที่ผ่านมา ทางทีมงานได้ใช้หมู่บ้านนี้เป็นที่ฉายรอบพรีเมียร์ของ Smirfs 3D จึงมีการตกแต่งเมืองด้วยเอเลเมนต์ของ Smirfs และทาสีบ้านทุกหลังเป็นสีฟ้า ซึ่งแม้งานนั้นจะผ่านไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังคงเต็มใจจะรักษาคาแรกเตอร์นี้เอาไว้ จนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก