15 สถานที่ท่องเที่ยว…ที่สีสันตระการตาที่สุดในโลก

Posted on

 

คนที่รักสีสันอันแปลกตา ไม่ควรพลาดไปตื่นเต้นกับสถานที่เหล่านี้ ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเฉพาะพื้นที่บ้างก็เกิดจากฝีมือมนุษย์และได้ถูกกาลเวลาแต่งเติม จนกลายเป็นความสวยงามซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริงบนโลกใบนี้ สีสันจะสวยงามแค่ไหน และมันอยู่ส่วนใดของโลก ไปติดตามชมกัน

[01]

Zhangye Danxia Landform

ประเทศจีน

เทือกเขาตันเซีย หรือที่รู้จักกันในชื่อ Rainbow Mountain แห่งเมืองจีน เป็นภูเขาหินสีสันแปลกตาหลากเลเยอร์ เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเมื่อ 24 ล้านปีก่อน และลมฝนก็ได้กัดเซาะหินทรายและแร่ธาตุต่างๆ จนเกิดลวดลายอย่างที่เห็น โดยคำแนะนำสำหรับการท่องเที่ยวคือจะเห็นสีสันชัดเจนในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก รวมถึงวันหลังจากฝนตก เนื่องจากน้ำฝนจะชะล้างฝุ่นดินที่ปกคลุมจนทำให้ภูเขากลายเป็นสีตุ่นๆ ออกจนหมด

[02]

Lake Hillier

Middle Island ประเทศออสเตรเลีย

เป็นทะเลสาบสีชมพูคล้ายนมเย็น ที่มีผืนดินกั้นอยู่ระหว่างชายฝั่งทะเลสีคราม โดยทะเลสาบนี้จะเป็นสีชมพูตลอดไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจากผลการศึกษาพบว่าสีชมพูนี้เกิดจากสาหร่ายชื่อ Dunaliella Salina ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อาศัยในนี้ได้ เพราะเกลือในน้ำอยู่ในระดับเข้มข้น แต่ก็ยังปลอดภัยพอที่จะให้คนลงไปแหวกว่ายเล่นได้ และด้วยความที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล วิธีไปเยือนที่นิยมที่สุดก็คือการนั่งเฮลิคอปเตอร์

[03]

Abraham Lake

รัฐ Alberta ประเทศแคนาดา

ทะเลสาบแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1972 เป็นผลจากการสร้างเขื่อน Bighorn ทางตอนเหนือของประเทศ อันที่จริงมันก็คือทะเลสาบธรรมดาทั่วไป แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ปรากฏการณ์ประหลาดในฤดูหนาว เมื่อฟองอากาศใต้น้ำเยือกแข็ง หรือเรียกว่า frozen bubble ทำให้เกิดลวดลายวิจิตรยิ่งกว่างานศิลปะใต้ผืนน้ำแข็ง  ยิ่งเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตกยิ่งเป็นซีนที่สวยงามมากๆ

ส่วนฟองอากาศจำนวนมากนี้ เกิดจากแก๊ส methana ที่ถูกปล่อยออกมาจากพืชก้นทะเลสาบนั่นเอง

[04]

Pamukkale

จังหวัด Denizli ประเทศตุรกี

ชื่อ Pamukkale ภาษาตุรกีแปลว่า cotton castle หรือปราสาทปุยฝ้าย เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส เกิดจากน้ำแร่ที่ไหลลงมาจากภูเขา ทำให้แร่ธาตุในน้ำจับตัวเกาะกันเป็นริ้วเป็นแอ่ง ลดระดับกันลงมาเรื่อยๆ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้แค่มาชมความสวยงามน่าตะลึงเท่านั้น แต่อีกหนึ่งจุดประสงค์หลักคือการมาอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนธรรมชาติกันที่นี่ด้วย

[05]

Laguna Colorado

ประเทศโบลิเวีย ฝั่งพรมแดนชิลี

เรียกกันอีกชื่อว่า Red Lagoon เป็นทะเลสาบน้ำเค็มตื้นๆ แต่กินพื้นที่กว้างในประเทศโบลิเวีย ตื่นตากับวิวผืนน้ำสีแดงสุดลูกหูลูกตา และในฤดูอพยพ ที่นี่ยังเป็นแหล่งหากินหลักของ นกฟลามิงโกพันธุ์ Andean จากประเทศชิลี ซึ่งเป็นพันธุ์ที่หายากที่สุดในโลกด้วย

[06]

Koyashskoye Salt Lake

เมือง Crimea ประเทศยูเครน

ทะเลสาบชื่ออ่านยากนี้อยู่ติดกับทะเลดำโดยมีผืนดินแคบๆ กั้นอยู่ น้ำในทะเลสาบจะเป็นสีชมพูบ้างหรือแดงสดบ้าง แล้วแต่สภาวะของแสงในแต่ละช่วง ซึ่งสีเหล่านี้เกิดจากสาหร่ายขนาดเล็กจิ๋วนับล้านล้านตัวที่อาศัยอยู่ได้ในสภาวะเกลือเข้มข้น จนถึงขั้นตกผลึกตามริมชายฝั่งและตามโขดหินได้

[07]

Cano Cristales

เมือง Meta ประเทศโคลอมเบีย

พื้นที่ในแม่น้ำโคลอมเบียนทางตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส ที่มีฉายาว่าแม่น้ำ 5 สี หรือแม่น้ำจากสรวงสวรรค์ นับเป็นพื้นที่ทางนิเวศน์วิทยาที่น่าทึ่งที่สุดในโลก โดยในทุกเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน สาหร่าย macarenia clavigera จะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ทั้งสีแดง ม่วง ชมพู เหลือง ตัดกันสวยงามกับสีเขียวและฟ้าของผืนน้ำ และนี่เป็นที่เดียวในโลกที่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้

[08]

Grand Prismatic Hot Spring

อุทยานแห่งชาติ Yellowstone อเมริกา

ทะเลสาบสีจัดจ้านนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีก่อน เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา แถมยังใหญ่เป็นอันดับสามของโลก มันมีความลึกกว่า 50 เมตร และน้ำมีอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส

สีสันที่เกิดขึ้นนี้เป็นปฏิกิริยาของน้ำร้อนกับแร่บริเวณขอบสระ โดยในฤดูร้อนขอบสระจะเป็นสีส้มหรือแดง ในฤดูหนาวมันจะกลายเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนสีฟ้าเข้มตรงกลางสระเกิดจากการกระจัดของแสงสีน้ำเงินในแสงแดดอีกทีหนึ่ง ผลเลยออกมาคอนทราสต์ได้ใจอย่างที่เห็น

[09]

Dallol Volcano

ภูมิภาค Danakil ประเทศเอธิโอเปีย

เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเช่นกัน วิธีการกำเนิดคล้ายกับที่ Yellowstone และเป็นบ่อน้ำพุร้อนเหมือนกันด้วย แต่ที่ร้อนระอุมากกว่า จนได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ร้อนที่สุดบนโลกด้วย สีเหลืองสดใสที่เห็นเกิดจาก Balsamic magma และเกลือ Miocene ก่อร่างสะสมทับถมกันไปเรื่อยๆ จนเป็นทิวสีเหลืองคดเคี้ยวที่แบ่งน้ำร้อนสีเขียวมรกตออกเป็นบ่อย่อยๆ นับร้อยบ่อ

[10]

Kawah Ijen

เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย

Ijen คือปล่องภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่ข้างใต้ ผู้คนมักจะปีนลงไปกันตั้งแต่กลางดึกเพื่อไปชม Blue Flame หรือเปลวไฟสีน้ำเงินที่เกิดจากการปะทุของสารซัลเฟอร์เหลวใต้ผืนดิน แล้วพอรุ่งสาง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็จะเห็นทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์สุดใส ตัดกันกับสีเหลืองของแร่กำมะถันที่มีคนงานมาคอยขนขึ้นไปข้างบนอยู่เรื่อยๆ และแม้สีจะสวยขาดใจ แต่ควันจากภูเขาไฟและกำมะถันนั้นถือว่าร้ายเอาเรื่อง

[11]

Crater Lake

รัฐโอเรกอน อเมริกา

นี่คือทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยรูปทรงกลมสมบูรณ์ และมีอายุกว่า 7,700 ปี เป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติ Crater Lake แห่งนี้ และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักปีนเขาในทุกๆ ฤดูกาล ว่ากันว่าสีฟ้าครามในทะเลสาบนี้เป็นโทนสีฟ้าครามที่สวยที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั่วโลก

[12]

Serrania de Hornocal

เมือง Humahuaca ประเทศอาร์เจนตินา

เทือกเขา Hornocal หรือภูเขาเจ็ดสีนี้ทอดยาวกว่า 25 กิโลเมตร สีสันแปลกตาและเลเยอร์รูปตัว V จำนวนมาก เกิดจากการค่อยๆ ฟอร์มตัวของหินปูนที่เรียกว่า Yacoraite นับเป็นจุดชมวิวที่ใครได้ไปอาร์เจนตินา ก็จะต้องไปที่นี่ให้เห็นกับตาสักครั้ง เพราะแม้จะอยู่สูงกว่า 4 พันเมตรจากระดับน้ำทะเล แต่กลับไปได้ง่ายดายด้วยรถธรรมดา ไม่จำเป็นต้องเป็นโฟร์วีลด้วยซ้ำ

[13]

Fly Geyser

รัฐเนวาดา อเมริกา

จุดเริ่มต้นของน้ำพุเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ก็จริง แต่เมื่อมันผ่านกาลเวลาก็ทำให้สาหร่ายปกคลุมพื้นที่ บวกกับสีของน้ำและคราบสีจากปฏิกิริยาทางธรรมชาติต่างๆ เลยได้สีสันสวยงามบนรูปทรงแปลกตา เป็นอีกวิวที่ชาวอเมริกันหลายคนมักจะแวะเวียนไปถ้ามีโอกาส

[14]

Panjin Red Beach

เมือง Liaoning ประเทศจีน

จุดเด่นของที่นี่คือ ต้น Suaeda ซึ่งขึ้นอยู่ตามสันทรายริมน้ำ จะเปลี่ยนเป็นสีแดงคริมสันในทุกฤดูใบไม้ร่วง กินพื้นที่กว้างหลายไมล์ สาเหตุเพราะในดินมีเกลือมากเกินกว่าที่พืชชนิดอื่นจะอาศัยอยู่ได้ทำให้ที่นี่ถูกยึดครองด้วย Suaeda ไปโดยปริยาย

[15]

Hitachi Seaside Park

จังหวัดอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น

ถือเป็นสวรรค์ของคนรักดอกไม้ สำหรับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ 470 เอเคอร์ในทุกฤดูกาล เพราะทางสวนเขาวางแผนปลูกดอกไม้สลับกันไปตามสภาพอากาศ

ซึ่งดอกสีฟ้าครามที่เห็นในภาพนี้คือทุ่งดอก Nemophila ที่จะมาชมได้ในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนอีกวิวยอดฮิตก็คือทุ่งดอก Kochia ที่เป็นพุ่มกลมๆ สีแดง ซึ่งจะเบ่งบานให้เห็นในช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคมเท่านั้น