เมื่อ “ความไม่แมส” กลายเป็นอีกหนึ่งโจทย์สุดหินที่ทุกแบรนด์ต้องระดมไอเดียสร้างสรรค์ พร้อมกับจับความ Fusion กับ Innovation มารวมกันให้มีชั้นเชิง และโจทย์นี้นี่เองจึงทำให้เกิดรถยนต์ทางเลือกอย่างเจ้า Microlino ที่ Reborn รถเก่าสุดว้าวยุค 50 ให้มาเป็นรถสามล้อพลังงานไฟฟ้ารูปทรงวินเทจ แต่อัดแน่นด้วยนวัตกรรมใหม่
Microlino มีจุดเด่นไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไปในยุคนี้คือตัวรถแบบ 3 ล้อ พร้อมตัวเก๋งแบบเปิดประตูด้านหน้าคล้ายกับ BMW Isetta 1956 ดีไซน์มีความละม้ายคล้ายคลึงกับตู้เย็น ตัวถังมีขนาดความยาวเพียง 2.4 เมตร ความกว้าง 1.5 เมตร ภายในห้องโดยสารเป็นแบบที่นั่งยาวรองรับผู้โดยสารได้ 2 คน (ย้ำว่า 2 คน เท่านั้น) ขณะที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาด 300 ลิตร ซึ่งถือว่าใหญ่และกว้างอยู่พอตัว และมีน้ำหนักตัวรถแบบไม่รวมแบตเตอรี่อยู่ที่ 450 กิโลกรัมเท่านั้น
ในส่วนของขุมพลังแห่งการขับเคลื่อนของ Microlino ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน ให้กำลังสูงสุด 20 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ได้ในเวลา 5 วินาที มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 90 กม./ชม. ส่วนการชาร์จไฟนั้น หัวชาร์จไฟเป็นแบบ Type 2 ที่สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็ว และแบตเตอรี่มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 8 kWh ที่วิ่งได้ไกลสุด 120 กม./ชาร์จ และ 14.4 kWh วิ่งได้ไกลสุด 215 กม./ชาร์จ
Microlino มีสีโทนหวานๆ ให้เลือก 8 สี โดยตั้งชื่อตามเมืองต่างๆ ได้แก่ Zurich Blue, Milano Red, Amsterdam Orange, Paris Mint, Barcelona Brown, London Grey, Gotham Black และ Vienna White เพื่อเป็นการสะท้อนว่า “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก Microlino ก็สามารถพาไปได้ในทุกๆ ที่”
ทั้งนี้ รถไฟฟ้า Microlino จะเริ่มผลิตในช่วงเดือนธันวาคม 2018 นี้ โดยจะมีการเปิดให้ผู้ที่สนใจได้ทดลองขับเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนตุลาคมที่ซูริค และรถลอทแรกจะถูกส่งถึงมือลูกค้าภายในช่วงต้นปี 2019 เริ่มที่สวิทเซอร์แลนด์เป็นที่แรก ต่อด้วยเยอรมนี จากนั้นจะเป็นคิวการกระจายไปทั่วยุโรป โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 12,000 ยูโร หรือประมาณ 4.7 แสนบาทไทย
แต่สำหรับเมืองไทยเป็นอะไรที่น่าเสียดายอย่างมาก เพราะกฎหมายไทยยังไม่รองรับรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้ ด้วยขนาด CC ที่น้อยเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการจราจรทั้งทางราบและทางชันได้ แม้ขนาดคันรถและออฟชั่นจะน่ารักและน่าใช้แค่ไหน แต่ก็ไปกันไม่ได้กับเมืองไทยจริงๆ
สนใจเช่ารถคลิก : www.drivemate.asia
เขียนโดย: Kittiya K.
อ้างอิงบทความและรูปภาพจาก: