วิธีดูแลรถยนต์ด้วยตนเอง
สำหรับคนที่ต้องขับรถบ่อยจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และจินตนาการถึงการใช้ชีวิตโดยปราศจากรถไม่ออก การรู้จักวิธี “ดูแลรถด้วยตัวเอง” เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเลยครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่าระหว่างที่ขับๆไปนี้ รถเจ้ากรรมจะก่อปัญหาให้เราเมื่อไหร่ และต่อไปนี้คือ 7 เรื่องการดูแลรถยนต์ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้ เพื่อที่เพื่อนๆจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้เมื่อเกิดปัญหา ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างดีมาฝากกันครับ
1. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยตัวเอง
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยตัวเองนั้นไม่ยากอย่างที่คิด ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็เสร็จแล้วครับ ซึ่งก่อนทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนั้นเพื่อนๆควรจอดรถ ดับเครื่องยนต์ หากเพิ่งวิ่งมาควรปล่อยให้เครื่องเย็นลงก่อน ใส่เบรกมือ และใช้แม่แรงยกรถขึ้นให้เรียบร้อย
ตรวจสอบตำแหน่งฝาครอบน้ำมันจากคู่มือรถยนต์ ทำการเปิดฝาครอบ มองหาตำแหน่งรูถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นน๊อตเกลียว อยู่ด้านล่างสุดของอ่างน้ำมันเครื่อง หาภาชนะมารองน้ำมันที่ใต้ท้องเครื่อง ถอดน๊อตที่ท่อระบายออก เพื่อถ่ายน้ำมันเก่าลงในภาชนะ คอยระวังอย่าให้น็อตตกลงไปภาชนะ ขั้นตอนนี้อาจกินเวลาพอสมควรครับ เสร็จแล้วค่อยๆใช้ประแจถอดตัวกรองน้ำมันออก (หาตำแหน่งได้จากในคู่มือ) ด้วยการหมุนทวนเข็มนาฬิกา ระวังอย่าให้น้ำมันกระเด็นใส่ตัว
ทาน้ำมันบางๆบนปะเก็นของตัวกรองอันใหม่ ค่อยๆใช้มือขันตัวกรองอันใหม่เข้าไป แล้วเอาน๊อตตัวเดิมขันให้แน่นอีกทีด้วยประแจ ใช้กรวยวางแล้วค่อยๆเติมน้ำมันเครื่องใหม่ลงไป คอยวัดระดับน้ำมันทุกๆ 2 ลิตรด้วยก้านวัด เมื่อถึงระดับที่ต้องการแล้ว ให้ปิดฝาเครื่องและสตาร์ทรถทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ดับเครื่องแล้วตรวจสอบระดับน้ำมันอีกครั้ง
2. การเปลี่ยนยางรถยนต์
หากระหว่างที่เราขับรถไปแล้วพบว่ายางแตก อย่าเพิ่งเหยียบเบรกทันทีนะครับ ให้เพื่อนๆค่อยๆ ลดความเร็วลงทีละน้อย เปิดไฟฉุกเฉิน แล้วขับชิดขอบทาง หลังจากนั้นหาวัตถุ เช่น ก้อนอิฐ หรือไม้ มาค้ำไว้บริเวณด้านหลังและด้านหน้าของตำแหน่งยางที่เรากำลังจะเปลี่ยน เพื่อป้องกันรถพลิกคว่ำ แล้วจึงใช้แม่แรงช่วยในการยกรถขึ้นครับ หลังจากนั้นให้ขันน๊อตล้อทุกตัวออก เปลี่ยนเอายางใหม่ใส่แทนที่ให้เข้ากับดุมล้อ แล้วขันน๊อตล้อทุกตัวให้แน่น ก่อนจะปรับระดับแม่แรงลง แล้วทำการขันน็อตอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามยางอะไหล่นั้นไม่เหมาะที่จะทำการขับขี่ต่อไปในระยะยาว ควรนำรถไปให้ศูนย์หรืออู่ซ่อมรถเปลี่ยนยางให้เมื่อมีเวลาด้วยนะครับ
3. การเปลี่ยนหัวเทียน
หัวเทียน เป็นตัวสร้างการจุดระเบิดในเครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งหัวเทียนที่ดีขึ้นจะทำให้การจุดระเบิดดีขึ้นกว่าเดิม การจะดูว่ารถของเราใช้หัวเทียนเบอร์ไหนจึงจะเหมาะสมนั้น ระบุอยู่ในคู่มือการใช้รถยนต์นั่นเอง การหมั่นตรวจเช็คหัวเทียนอยู่เสมอ และเปลี่ยนทุกๆ 20,000 กิโลเมตร จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีครับ
สำหรับวิธีเปลี่ยนหัวเทียนด้วยตัวเองก็ไม่ยากอย่างที่คิด ให้คุณมองหาคอยล์ แล้วจัดการดึงสายไฟที่ต่ออยู่ออก หลังจากนั้นใช้ประแจคลายน็อตยึดคอยล์ออกมา พอดึงคอยล์ออกได้แล้ว ให้สอดประแจหัวเทียนเพื่อคลายหัวเทียนออก ใช้คีมปากจิ้งจกดึงหัวเทียนออกมา นำหัวเทียนอันใหม่ที่เราต้องการเปลี่ยนติดกับประแจหัวเทียน ใช้มือไขกลับลงไปจนแน่น ใส่คอยล์ลงไป ปิดฝา ยึดด้วยน็อตกลับคืนเหมือนเดิม แล้วทำการต่อสายไฟที่เราดึงออกมา ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
4. ขจัดรอยขูดขีดสีรถยนต์
ทุกครั้งที่มองเห็นรอยขูดขีด แม้จะเล็กน้อยอย่างรอยขนแมวหรือกุญแจขูดก็ตาม ก็ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดได้ใช่ไหมครับ แต่รอยที่ว่านี้หากไม่ลึกมากเราสามารถกำจัดด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ครับ
เริ่มต้นที่การฉีดน้ำไปบนรอยนั้น แล้วดูว่าเรายังมองเห็นรอยอยู่ไหม หากไม่เห็นรอยนั้นแล้ว แสดงว่ารอยนั้นยังอยู่ในชั้นที่ไม่ลึกมาก อาจเป็นชั้นเคลือบบนสุด (Wax) หรือ ชั้นเคลือบใส (Clear Coat) ก็ได้ และเรายังสามารถแก้ไขด้วยการใช้ครีมขัดสีลบรอยได้ โดยให้เราล้างรถและเช็ดให้แห้งก่อน จากนั้นจึงทาครีมขัดสีรถตรงบริเวณที่มีรอยให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าหรือฟองน้ำค่อยๆ ขัดจนเนื้อครีมและรอยต่างๆหายไปจนหมด
แต่ถ้าหากเราฉีดน้ำไปแล้วยังมองเห็นรอยนั้นชัดอยู่ แสดงว่ารอยนั้นลึกไปถึงชั้นสีเคลือบ (Base Coat) แล้ว ยังพอจะแก้ไขได้อยู่เหมือนกันแต่ต้องลงทุนลงแรงหน่อยครับ เริ่มที่การเช็ดทำความสะอาดบริเวณนั้น ขัดด้วยกระดาษทรายชุบน้ำเบอร์ 320 ค่อยๆขัดไปเรื่อยๆจนรอยนั้นหายไป แล้วจึงใช้กระดาษทรายชุบน้ำเบอร์ เบอร์ 600 และ 1000 ขัดซ้ำแบบเดิมอีกที จนกระทั่งรอยเรียบเนียน แล้วใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจานผสมน้ำทำความสะอาดคราบมัน ตากแดก ผึ่งให้แห้ง ต่อด้วยขั้นตอนการพ่นสีครับ
ให้เรานำกระดาษกาวมาแปะบริเวณรอบๆที่ไม่ต้องการให้สีเปื้อน หลังจากนั้นพ่นสี 2K ตรงรอยเจ้าปัญหานั้นซ้ำลงไป 3 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 30 นาที แล้วพ่นแลกเกอร์เคลือบทับทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง พอแห้งใช้ครีมหรือน้ำยาเคลือบสีขัดให้ทั่ว แค่นี้ก็จะได้รถเหมือนใหม่ ไม่เคยโดนขูดขีดใดๆแล้วครับ
5. เปลี่ยนแบตเตอรีรถยนต์
ก่อนจะทำการเปลี่ยนแบตเตอรี เพื่อนๆควรเช็คให้แน่ใจก่อนว่าเราทำการจอดรถ ดับเครื่องยนต์ ใส่เบรกมือ และดึงกุญแจออกเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีถุงมือควรใส่ถุงมือด้วยครับ หลังจากนั้นให้เพื่อนๆเริ่มต้นด้วยการ ถอดสายแบตเตอรีขั้วลบออกก่อน จากนั้นตามด้วยขั้วบวก แล้วดึงเอาแบตเตอรีลูกเดิมออกมา นำลูกใหม่มาวางแทนที่ ต่อสายแบตขั้วบวก แล้วตามด้วยขั้วลบ ขั้นตอนนี้สำคัญมากครับ เพื่อนๆควรดูและจำให้ดีว่าตรงไหนที่เป็นขั้วบวก ขั้วลบ เพราะถ้าต่อผิดจะเกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้ นอกจากนี้การต่อสายกลับเข้าไปควรขันน็อตให้แน่น หากไม่แน่นพอจะทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหล รถอาจสตาร์ทไม่ติดได้ หลังจากนั้นให้ฉีดจารบีสำหรับแบตเตอร์รี่รถยนต์ลงไป แล้วลองสตาร์ทเครื่องครับ
6. เปลี่ยนไฟหน้า
หากเพื่อนๆต้องการเปลี่ยนไฟหน้ารถด้วยตนเองแล้วล่ะก็ อุปกรณ์ที่ควรเตรียมไว้เลย ได้แก่ กุญแจรถ ไขควงปากแบนขนาดเล็ก และขนาดใหญ่อย่างละ 1 อัน จอดรถทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงก่อนทำ ไม่อย่างนั้นมือพองได้ครับ ให้เพื่อนๆสังเกตบริเวณตรงด้านหลังของไฟหน้ารถที่เชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ จะมีสายไฟอยู่ 3 เส้นซึ่งติดอยู่กับปลั๊ก หากปลั๊กนั้นถูกยึดไว้ด้วยพลาสติก ให้ใช้นิ้วโป้งกดพลาสติกชิ้นนั้นลงไปเบาๆ พลาสติกจะเลื่อนออก หากปลั๊กถูกยึดด้วยคลิปเหล็ก ให้ดึงคลิปเหล็กขึ้นเบาๆ แต่ถ้าถูกยึดไว้ด้วยน็อตให้ขันน็อตออกก่อน
เมื่อถอดปลั๊กแล้ว เราสามารถถอดหลอดไฟได้โดยจับที่ฐาน และดึงหรือค่อยๆหมุนหลอดไฟอันเก่าออก ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้าสะอาดหยิบหลอดไฟดวงใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนออกมา จับหลอดไฟตัวใหม่ที่ฐาน แล้วใส่เข้าไปแทนดวงเก่า ใส่ปลั๊กและสายไฟเข้าไปที่เดิม แล้วลองเปิดดูว่าไฟติดหรือไม่
7. เปลี่ยนผ้าเบรก
โดยมากผ้าเบรกจะมีอายุไม่เกิน 50,000 กิโลเมตร หรือหากถึงกิโลเมตรตามจำนวนดังกล่าวแล้วยังสามารถใช้งานได้อยู่ ก็ควรตรวจสอบสภาพผ้าเบรกว่าหน้าสัมผัสยังดีอยู่หรือไม่ครับ ซึ่งวิธีการจะเปลี่ยนนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องมีอุปกรณ์พร้อมหน่อย ดังนี้ แม่แรงปากกา แม่แรงยกล้อ ประแจคลายล้อ ประแจประจำรถ ผ้าสำหรับเช็ด และถุงมือครับ
ขั้นแรก จอดรถให้สนิท ดึงเบรกมือ แล้วใช้แม่แรงยกล้อขึ้น ถอดล้อออกมา ใช้น้ำยาทำความสะอาดเบรกฉีดที่จานเบรก ใช้ประแจคลายเกลียวด้านล่างที่หนีบเบรกและดึงขึ้นด้านบนจนหลุดออกมา ในขั้นตอนนี้ระวังดีๆ อย่าให้สายเบรกที่ติดอยู่ขาดนะครับ หลังจากนั้นใช้แม่แรงปากกาหนีบที่หนีบเบรกตรงบริเวณที่สัมผัสกับผ้าเบรก และ เหล็กครอบฝั่งควบคุม ปรับระดับให้กว้างพอดีกับผ้าเบรกใหม่ ถอดผ้าเบรคอันเดิมออก ทาจารบีลงบนผ้าเบรกใหม่ แล้วติดตั้งลงไป ใส่ที่หนีบเบรกกลับคืน ทำการใส่ล้อให้เรียบร้อย เสร็จแล้วให้กลับเข้าไปในรถ เหยียบเบรก เพื่อเป็นการปรับระดับที่หนีบเบรกครับ
แต่ทั้งนี้อย่าลืมนะครับว่า ไม่ว่าเราจะคอยดูแลรักษารถอย่างดีแค่ไหนก็ตาม เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อาจเกิดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพื่อนๆไม่ควรมองข้ามไปนะครับ
บทความโดย: นันทรัช ชมภูแสง
Content Writer ประจำเว็บไซต์ GoBear ผู้หลงใหลการอ่านหนังสือและเชื่อมั่นในพลังของการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเรื่องราว มีความสุขกับการฟังเพลง ดูซีรีส์ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น